Slide E-Commerce การทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต

VDO บาร์โค้ดทำงานอย่างไร

VDO E-Commerce

VDO smartcard

บทที่4 การทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต

ในยุคที่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปนอกจากการสืบเสาะค้นหาข้อมูลข่าวสาร ติดต่อสื่อสาร และกระทั่งการใช้เพื่อความบันเทิงแล้ว ปัจจุบันการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าก็ใช้บริการทางอินเตอร์เน็ตหรือที่เรียกอีกอย่างว่าการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต (E-Commerce)

สมาร์ทการ์ด

สมาร์ทการ์ด

สมาร์ทการ์ด เป็นบัตรชนิดหนึ่งที่มีขนาดพอ ๆ กับบัตรเครดิตหรือบัตรเอทีเอ็มพลาสติกที่มีการฝังชิพคอมพิวเตอร์ (Computer Chip) ไว้ภายในบัตรโดยที่ตัวชิพดังกล่าวนี้ ภายในบรรจุข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในรูปแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยกรรมวิธีที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยม

สมาร์ท การ์ดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ

1. สมาร์ทการ์ดแบบมีการสัมผัส (Contact smart cards) ซึ่งการใช้งานจำเป็นต้องมีการสอดใส่เข้าไปในเครื่องอ่านสมาร์ทการ์ด (smart card reader)

2. สมาร์ทการ์ดแบบไม่มีการสัมผัส (Contactless smart cards) ซึ่งการใช้งานต้องการเพียงให้วางอยู่ใกล้ ๆ กับสายอากาศเท่านั้น

สมาร์ทการ์ดแบบมีการสัมผัสเป็นบัตรที่มีการผนึกชิพทองขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้ว เอาไว้ที่ด้านหน้าบัตรแทนการใช้แถบแม่เหล็ก (Magnetic stripe) ที่เคยพบเห็นใช้กันมากที่สุดในบัตรเครดิตหรือบัตรเอทีเอ็ม เมื่อผู้ใช้สอดใส่บัตรเข้าไปในเครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดแล้วมันจะสัมผัสกับหัวต่อหรือคอนเน็กเตอร์ทางไฟฟ้า ซึ่งจะทำการส่งถ่ายข้อมูลเข้าและออกจากชิพ

สมาร์ทการ์ดแบบไม่มีการสัมผัส เป็นบัตรที่มองดูรูปร่างภายนอกแล้วคล้ายกับบัตรเครดิตพลาสติกแบบหนึ่ง ที่ภายในมีการผนึกชิพคอมพิวเตอร์และขดลวดสายอากาศไว้ภายใน ซึ่งใช้ในการติดต่อกับเครื่องรับ/เครื่องส่งที่อยู่ในระยะไกล (Remote receiver/transmitter) โดยทั่ว ๆ ไปเรามักใช้บัตรแบบนี้เมื่อต้องมีการดำเนินการทางด้านรายการ (Transactions) อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ที่ใช้กับการจัดเก็บเงินค่าผ่านทางด่วน

นอกจากบัตรสมาร์ทการ์ดทั้งสองแบบดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันยังมีการผลิตสมาร์ทการ์ดแบบผสมหรือที่เรียกว่า คอมบิการ์ด (Combi Card) ออกมาใช้งานอีกด้วย โดยบัตรแบบนี้เป็นบัตรใบเดียวแต่ทำหน้าที่เป็นทั้งสมาร์ทการ์ดแบบมีการสัมผัส และสมาร์ทการ์ดแบบไม่มีการสัมผัสเพื่อเพิ่มความสะดวกและประโยชน์ในการใช้งานมากขึ้น

สมาร์ทการ์ดมีข้อดีหลายประการที่ควรกล่าวถึง คือ

  1. พิสูจน์แล้วว่ามีความไว้วางใจได้ดีกว่าบัตรที่ใช้แถบแม่เหล็ก
  2. สามารถเก็บสะสมข้อมูลได้มากกว่าบัตรที่ใช้แถบแม่เหล็กเป็นร้อย ๆ เท่า
  3. ลดโอกาสที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวและป้องกันการปลอมแปลงด้วยระบบป้องกันที่ซับซ้อน
  4. สามารถเปลี่ยนมือและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  5. ทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้มากมาย
  6. สามารถนำไปใช้ในงานต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง เช่น การขนส่ง ธนาคาร และการรักษาสุขภาพ เป็นต้น
  7. สามารถประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาต่าง ๆ ได้ เช่น เครื่องโทรศัพท์และเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว
  8. ทำงานด้วยเทคโนโลยีเซมิคอนดัคเตอร์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

เรดิโอแท็ก

ก่อนที่จะกล่าวถึงว่า เรดิโอแท็ก (Redio Tag) คืออะไรนั้นขอกล่าวถึงเรื่องของระบบ RFIS (RadioFrequency Identification Systems) ก่อน

ระบบ RFIS เป็นระบบตรวจพิสูจน์ด้วยการใช้คลื่นวิทยุ (RF) ประกอบด้วยแท็กวิทยุ (Radio Tag) และเครื่องอ่าน/เครื่องเข้ารหัส (Readers/Encoders) เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อระบบ ข่าวสารข้อมูลเข้าด้วยกันตัวแท็กวิทยุประกอบด้วยชิพและสายอากาศ ทั้งนี้สามารถผลิตมันในรูปใด ๆ ก็ได้ที่เหมาะสมกับการใช้งานที่ต้องการ และสามารถนำไปใช้งานรวมเข้ากับเรื่องหรือสิ่งที่ต้องการตรวจพิสูจน์ได้ง่าย

แท็ก (Tag) จะถูกกระตุ้นให้ทำงานด้วยสัญญาณวิทยุที่มีความถี่ตามที่ได้กำหนดไว้ และส่งสัญญาณชุดหนึ่งตอบกลับมาให้ทราบ เครื่องอ่าน(ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องรับ-ส่งวิทยุ) สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนชิพได้

ดังนั้น read/write radio tag จึงเป็น client ที่เล็กที่สุดของ Client/server information system

เรดิโอแท็ก มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

แท็กช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สามารถทำการตรวจพิสูจน์ด้านต่าง ๆ ได้ดังนี้

  1. แท็กที่ประกอบอยู่ในระบบตรวจพิสูจน์ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการตรวจสอบความถูกต้องได้ในระยะไกล ดังนั้นจึงสามารถเขียน (บันทึก) หรืออ่านข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสตัวบัตร
  2. จากการที่ออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสมบูรณ์ในตัว จึงสามารถนำแท็กไปใช้งานได้โดยไม่มีอะไรขัดขวางหรือทำให้อยู่ในรูปทรงสวยงามแปลกตา น่าใช้ได้ตามต้องการ
  3. สามารถอ่านแท็กได้แม้มองไม่เห็นตัวมัน ตัวอย่างเช่น อาจใส่ไว้ในภาชนะต่าง ๆ หรือแช่อยู่ในของเหลว
  4. แท็กสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น การสั่นสะเทือน การกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง หรือมีฝุ่นละออง
  5. สามารถโปรแกรมได้หลาย ๆ ครั้ง (มากกว่า 100,000 ครั้ง)
  6. สามารถอ่านได้ในระยะไกลตั้งแต่ 30 เซนติเมตรหรือมากกว่านั้น
  7. มีหน่วยความจำที่สามารถบันทึกข้อมูลเป็นจำนวนมากได้ตั้งแต่ 64 บิต จนถึง 2 กิโลบิต
  8. ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลภายใน โดยการป้องกันด้วยรหัสพิเศษ

ทางด้านผู้ผลิตนั้น แท็กจะมีบทบาทในการช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณสู่ยุคการแข่งขันได้อย่างมั่นใจ ดังนี้

  • ทำให้มันง่ายต่อการผลิตโดยอัตโนมัติ
  • ปรับปรุงวิธีการตรวจจับวัตถุ (object tracking) ให้ดีขึ้น
  • กำหนดตำแหน่งของวัตถุที่ตรวจจับได้ในเวลาที่เป็นจริง
  • ทำให้สามารถแนะนำบริการใหม่ ๆ แก่ลูกค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการรับประกันว่า ข้อมูลที่อยู่ในแท็กจะมีความเที่ยงตรง
  • ป้องกันการปลอมแปลงผลิตภัณฑ์ ปกป้องยี่ห้อและโนว์-ฮาว (Know-how)
  • ส่งเสริมบริการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ กับองค์กรได้อย่างกว้างขวาง
  • แสดงถึงความเป็นผู้นำในวงการอุตสาหกรรม

กลไกในการควบคุมการเข้าถึงและรักษาความปลอดภัย

บัตรพลาสติกสามารถระบุหรือบ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ เช่น มีชื่อผู้ถือบัตรและรูปถ่าย ส่วนในสมาร์ท การ์ดมีกลไกในการรักษาความปลอดภัยแบบต่าง ๆ หลายแบบ โดยหากเป็นบัตรที่ใช้เก็บข้อมูลอย่างเดียว (memory-only card) แล้วจะมีความซับซ้อนน้อยกว่าที่ใช้กับบัตรไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor card)

การเข้าถึงข้อมูลที่บรรจุภายในสมาร์ทการ์ดนั้น ควบคุมได้ 2 แนวทางคือ

  1. ใครบ้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ (ทุก ๆ คน ผู้ถือบัตร หรือบุคคลที่สามที่ระบุไว้เท่านั้น)
  2. สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไร (อ่านอย่างเดียว เพิ่มข้อมูลได้ ปรับปรุงข้อมูลได้ หรือลบข้อมูลได้)

สมาร์ทการ์ดกับอินเทอร์เน็ต

เรื่องของอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากแทบทุกวงการ และมีการพัฒนาตลอดเวลา เช่นการนำไปใช้สนับ สนุนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์คอมเมอร์ซ (Electronic Commerce) โดยได้รับการออกแบบมาให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารด้านบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แต่ก็มีปัญหาว่าหากบรรดาผู้ซื้อของผ่านทางอินเทอร์เน็ตเห็นผลิตภัณฑ์แล้วต้องการซื้อมันจริง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร

สมาร์ทการ์ดช่วยสนับสนุนในเรื่องการจับจ่ายผ่านอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายด้วยเงินสดหรือเครดิต อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องต่อบัตรที่ใช้ในการซื้อหรือชำระค่าบริการเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาและส่งข้อมูลผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปยังอินเทอร์เน็ต

เครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาไม่แพง ใช้กำลังต่ำ ซึ่งสามารถต่อเพิ่มเติมเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ได้ และในอนาคตมีแนวโน้มว่าค่าใช้จ่ายในการเพิ่มอุปกรณ์ดังกล่าวเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเพอริเฟอรัล (Peripherals) จะต่ำลง

ในปี 2539 ได้มีการแนะนำเครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดพร้อมโมเด็มรวมอยู่ในตัวต่อ   สาธารณชน ซึ่งเป็นไปได้มากที่เราคงจะได้เห็นว่าบางทีเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคแรกที่ออกจำหน่ายมีความสามารถอ่านสมาร์ทการ์ดได้เป็นเครื่องมาตรฐาน

ในเดือนพฤษภาคม 2539 บริษัทชั้นนำ 5 แห่ง ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ (ได้แก่ ไอบีเอ็ม แอปเปิ้ล ออราเคิล ซัน และเน็ตสเคป) ได้เปิดตัวมาตรฐานอันหนึ่งสำหรับคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เน็ตเวอร์กคอมพิวเตอร์ (Network Computer) ซึ่งมันได้รับการออกแบบมาให้สามารถทำการอินเทอร์เฟส โดยตรงกับอินเทอร์เน็ตและมีความสามารถใช้สมาร์ทการ์ดได้ด้วย นอกจากนี้ในปี 2539 พันธมิตรซึ่งประกอบด้วย ฮิวเล็ตต์แพคการ์ด อินฟอมิคซ์ และเจ็มพลัส ได้เปิดตัวในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้สมาร์ทการ์ดในการจ่ายเงินและรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายที่เป็นแบบเปิดทั้งหมดด้วย

นอกจากการใช้สมาร์ทการ์ดในการจ่ายเงินหรือชำระค่าบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังมีช่องทางอื่น ๆ ที่สามารถทำได้อีก เช่น

การนำพาแอดเดรสที่ชื่นชอบของคุณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปยังเน็ตเวอร์ก คอมพิวเตอร์ของเพื่อนของคุณ

สามารถดาวน์โหลดตั๋วโดยสารเครื่องบินและบัตรผ่านขึ้นเครื่องของตัวคุณได้เอง

สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับสมาร์ทการ์ด คือว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่กับเราทุกวัน ซึ่งผู้คนสามารถพกพาใส่ไว้ในกระเป๋า โดยมันยังคงเก็บรักษาข้อมูลและป้องกันข้อมูลที่เก็บไว้ในรูปแบบทางอิเล็กทรอนิกส์

หากพูดถึงความสมาร์ทของสมาร์ทการ์ดแล้วคงมาจากแผงวงจรรวม (IC) ที่ฝังอยู่ในบัตรพลาสติก ซึ่งเราสามารถที่จะทำให้มันมีการทำงานทางอิเล็กทรอนิกส์ในลักษณะเดียวกันนี้ ด้วยการฝังวงจรรวม (IC) ที่คล้ายคลังกันนี้ในวัตถุอื่น ๆ ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวัน เช่น กุญแจรหัส นาฬิกา แว่นตา แหวน หรือต่างหู นอกจากนี้ยังมีการนำ Smart keys ไปใช้กับการเป็นสมาชิกของ เปย์-ทีวี (pay-TV) แล้วด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีของบัตรที่ไม่ต้องมีการสัมผัสก็คือสิ่งที่เรียกว่า แท็ก (Tags) โดยแท็กทำหน้าที่เป็นเสมือนสมาร์การ์ดที่ไม่มีการสัมผัส แต่อยู่ในรูปของเหรียญ แหวน หรือแม้แต่ป้ายติดกระเป๋า แทนที่จะอยู่ในรูปบัตร โดยทั่ว ๆ ไปมีการนำมันไปติดยึดไว้กับวัตถุ หรือสัตว์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ หรือสุนัข ซึ่งทำให้สามารถควบคุมหรือป้องกันข้อมูลโดยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับวัตถุนั้น ๆ ทำให้สามารถควบคุม ดูแล หรือจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับ ข้อมูลในลักษณะ manual data handling ด้วยระบบจัดการข้อมูล

นอกจากนี้อีกไม่นานก็จะมีการใช้ ไบโอเมทตริค (Biometric) ที่ช่วยให้การตรวจสอบความถูกต้องของบุคคลได้จากมือ ลายนิ้วมือ เยื่อภายในลูกตา หรือเสียงพูด และต่อไปในไม่ช้านี้อาจมีทางเป็นไปได้ที่จะตรวจรับรองการใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในสมาร์ทการ์ดได้โดยใช้คำพูดหรือมือสัมผัส

สมาร์ทการ์ดเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ที่กำลังเข้าไปมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้คนนับล้าน ทั้งนี้มันเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น และจะมีบทบาทอย่างมากกับการใช้งานด้านต่าง ๆ เช่น การจับจ่ายซื้อของ พบแพทย์ ใช้โทรศัพท์ และสรรหาความสุข ความบันเทิง ตลอดจนการพักผ่อนหย่อนใจ

ในสังคมยุคใหม่เป็นยุคที่ต้องการข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาล คอมพิวเตอร์ช่วยให้เราสามารถจัดการกับข่าวสารเหล่านี้ได้ สมาร์ทการ์ดจะช่วยให้เรามีหนทางใหม่ในการจัดการและควบคุมข่าวสารดังกล่าวได้ด้วยตนเอง

การใช้เทคโนโลยีของสมาร์ทการ์ดทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้ และยังเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย

Music

Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!